Skip to main content
Is oil overdone amid stiffer sanctions and latest production push?

ราคาน้ำมันถูกกดดันมากเกินไปหรือไม่ ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มข้นและแรงผลักดันกำลังการผลิตล่าสุด?

พฤ., 10/30/2025 - 10:15

เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงและความร้อน หรือการขาดแคลนความร้อน กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับหลายประเทศในซีกโลกเหนือ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดพลังงานกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน หลังจากที่ราคาได้พุ่งทะลุเกิน $100 ต่อบาร์เรลอย่างไม่เคยมีมาก่อน ราคาน้ำมันกลับมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดสามปีที่ผ่านมา ในความเป็นจริง เพียงแค่ปีเดียวที่ผ่านมา เบรนท์ปรับตัวลดลงจากราคาเฉลี่ยประมาณ $85 ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2025 มาอยู่ที่เพียง $64.387 ณ วันที่ 30 ตุลาคม

จากที่ผ่านมา ระดับราคานี้ถือว่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยสิบปี และอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการปรับฐานตามธรรมชาติหลังจากราคาพุ่งสูงในช่วงฤดูร้อนปี 2022 อย่างไรก็ตาม โลกยังคงอยู่ในภาวะไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ และสินทรัพย์จริงอื่น ๆ ก็มีราคาสูงขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกัน

ตลาดน้ำมันโดยปกติจะมีปัจจัยเทียมสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างแรกคือ กลุ่ม OPEC+ ค่อย ๆ เพิ่มระดับการผลิตเพื่อกดราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับต่ำ หลังจากนั้นยังมีแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ Urals จากมาตรการจำกัดราคาและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อประเทศผู้ผลิตซึ่งก็คือรัสเซีย แต่ในขณะเดียวกัน แรงขับเคลื่อนตามธรรมชาติของตลาดและการคาดการณ์อุปสงค์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องคาดเดาทิศทาง ในบทความนี้ เราจะพิจารณาปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้และอื่น ๆ เพื่อพยายามวิเคราะห์ทิศทางราคาน้ำมันในปี 2026

สูงขึ้นหรือต่ำลง?

หลังจากการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด OPEC+ ได้ค่อย ๆ เพิ่มการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตที่ขาดหายไปโดยไม่ให้ตลาดพังลง ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันได้เพิ่มเป้าหมายการผลิตมากกว่า 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังคงคิดเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของการปรับลดสะสม 5.85 ล้านบาร์เรลต่อวันที่สมาชิกเคยตกลงกันไว้ในปีก่อน ๆ แต่กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นก็ได้สร้างภาวะน้ำมันล้นตลาด ซึ่ง IEA คาดว่าจะดำเนินไปจนถึงสิ้นปี 2026 สมาชิกของ OPEC+ จะประชุมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน เพื่อกำหนดโควตาการผลิตสำหรับเดือนธันวาคม โดย Reuters คาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 137,000 บาร์เรลต่อวัน ประเทศเดียวที่สามารถเพิ่มการผลิตได้จริง คือซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันสองด้านจากทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ มอสโกต้องการให้หยุดหรือแม้กระทั่งกลับทิศการเพิ่มกำลังผลิตเพื่อเร่งความสามารถในการทำกำไรจากการค้า ในขณะที่วอชิงตันผลักดันให้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากซาอุดีอาระเบียกำลังมองหาการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ เราจึงควรคาดหวังว่าการเพิ่มกำลังผลิตจะดำเนินต่อไปอย่างน้อยในอัตราเดิม ทั้งนี้กลยุทธ์ดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของ OPEC ในการกดราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับต่ำ และผลักอุตสาหกรรม shale oil ของสหรัฐฯ ออกจากเกมการแข่งขัน

ในขณะเดียวกัน บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกก็คาดว่าจะเร่งกำลังผลิตแม้ว่ากำลังเผชิญกับราคาน้ำมันดิบที่อ่อนแอและอุปทานที่สูงขึ้นจาก OPEC และพันธมิตร นักวิเคราะห์ของ Bloomberg คาดว่า Exxon Mobil Corp., Chevron Corp., Shell Plc, BP Plc และ TotalEnergies SE จะเพิ่มการผลิต 3.9% ในปีนี้ และ 4.7% ในปี 2026 การเพิ่มขึ้นนี้คิดรวมถึงทั้งโครงการใหม่และการเข้าซื้อกิจการ เพื่อใช้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

การปรับกฎ

ทรัมป์กลายเป็นข่าวใหญ่ในสัปดาห์นี้ คราวนี้ไม่ใช่เรื่องภาษีแต่เป็นมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งถือเป็นแพ็กเกจแรกที่มุ่งไปยังรัสเซียนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ภายใต้มาตรการใหม่นี้ สหรัฐฯ จะสามารถกดดันบริษัทย่อยในต่างประเทศของ Rosneft และ Lukoil และขัดขวางพันธมิตรต่างชาติไม่ให้ร่วมงานกับพวกเขาได้ กำลังการผลิตจากทั้งสองบริษัทคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการผลิตน้ำมันดิบ 9.2 ล้านบาร์เรลต่อวันที่รัสเซียผลิตได้จนถึงตอนนี้ และคิดเป็น 47% ของการส่งออกน้ำมันดิบทางเรือ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวันของประเทศ นอกจากนี้บริษัททั้งสองยังมีความสำคัญต่อการผลิตน้ำมันของมอสโก โดย Rosneft ส่งออกน้ำมันเกือบ 900,000 บาร์เรลต่อวันไปยังจีนผ่านท่อส่งโดยตรง หลังจากการประกาศ มีกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ในอินเดียและจีนระงับการซื้อน้ำมันเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากสหรัฐฯ ขณะที่ Indian Oil ที่เป็นรัฐวิสาหกิจก็ถึงขั้นยื่นคำเสนอซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ จำนวน 24 ล้านบาร์เรลสำหรับไตรมาสแรกปี 2026

แม้มาตรการคว่ำบาตรจะสร้างผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัสเซียสูญเสียตลาดอย่างน้อย 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่การผลิตน้ำมันของรัสเซียยังคงมีแนวโน้มทรงตัวในระยะสั้น น้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรอาจถูกกักเก็บไว้บนเรือก่อนที่จะถูกดูดซับโดยโรงกลั่นขนาดเล็กในจีนหรือผู้ซื้อรายอื่นที่ยอมใช้ "กองเรือเงา" เพื่อลักลอบขนส่งไปยังโรงงานของตนเอง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงการแตกแยกของตลาดน้ำมันโลก ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ลดลง ต้นทุนโลจิสติกส์และค่าขนส่งที่สูงขึ้น และอาจกลายเป็นแรงผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น จุดสูงสุดของอุปสงค์น้ำมันจะยังคงถูกเลื่อนออกไป โดยมีการประเมินว่าจะเกิดขึ้นเลยปี 2030 และ OPEC เองก็ยังคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นต่อไปจนถึงปี 2050 อย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ปัจจัยชี้นำราคาที่แท้จริงคือดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทาน ตราบใดที่อุปสงค์ของน้ำมันยังคงแข็งแกร่ง ราคาอาจยังคงปรับขึ้นได้แม้ในภาวะอุปทานที่เพิ่มขึ้น

เทรด CFD ของน้ำมันและสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ Libertex

นอกจากตราสารที่ได้รับความนิยมอย่าง CFD ของหุ้น ETF และสกุลเงินแล้ว Libertex ยังมี CFD ของพลังงานมากมาย รวมถึงอนุพันธ์ของน้ำมันอย่างเช่น WTI Crude, Light Sweet และ Brent หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีวันนี้ ให้ไปที่ www.libertex.org/signup

สัมผัสกับความน่าตื่นเต้นของการเทรด!

ลงทะเบียนเปิดบัญชีเดโมกับ Libertex และมาเรียนรู้วิธีการเทรด